โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยน่ะค่ะ
“อานันทะ ดูก่อนอานนทหลังกึ่งพุทธกาลไปแล้ว โลกจะมีอันตรายที่ ร้ายแรงมากกว่าก่อนกึ่งพุทธกาลมากนัก
ยักษ์นอกพุทธศาสนาจะรบราฆ่าฟันซึ่งกัน และกัน ต่างฝ่ายจะล้มตายกันฝ่ายละมาก ๆ สมณะ ซี พราหมณ จะล้มตาย
จะตายไปฝ่ายละครึ่ง จึงเลิกรากัน สําหรับประเทศที่นับถือพุทธศาสนาจะมีภัยเหมือนกัน แต่ไม่ร้ายแรงนัก”
ถ้าสงครามใหญเกิดขึ้น คนไทยจะมีความมันคงในพุทธศาสนามากขึ้น ในเมื่อเห็นการสูญเสีย เห็นความตายเกิดขึ้น
ความทุกขก็เกิดขึ้น จิตใจก็เริ่มเป็นกุศลมากขึ้น เวลานั้นบรรดาพุทธศาสนิกชน ก็จะมีความมั่นคงในพุทธศาสนามาก
ขึ้น เพราะกลัวตาย.....
การเตรียมตัวรับมือภัยธรรมชาติครั้งใหญ
1. ก่อนการเกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ 15 วัน โลกจะเอียงก้มหัวใหดวงอาทิตยมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให
น้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือละลาย จะนําไปสู่คลื่นยักษถาโถมเข้าสูแผ่นดิน
2. เกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญเป็นเวลา 49 วัน ในระหว่างเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน
3. ฝนตกครั้งใหญทั่วโลก (ระยะชําระล้างเป็นเวลา 7 วัน)
*ใน 3 วันแรกจะเกิดสงครามนิวเคลียร ที่ทวีปเอเชีย ในประเทศที่เป็นอริกัน
ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได
1. เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ
2. พายุถล่ม
3. แผ่นดินแยก และ แผ่นดินไหว
4. ภูเขาไฟระเบิด (จังหวัดทางภาคกลาง 2 ลูก,ภาคเหนือตอนล่าง 3 ลูก,อีกทั้งที่จังหวัด ราชบุรี น่าน แพร เป็นต้น)
5. คลื่นยักษจากทะเลจะซัดเข้าชายฝั่งอย่างรุนแรง
6. โรคระบาดที่สุดจะเยียวยาได้แก่ Virusteria สายพันธุ 2012 ,อหิวาตกโรคสายพันธุ์ใหม 2012 ผู้ที่ได้รับเชื้อจะเสียชีวิตทันทีภายใน 6 วัน
7. คลื่นเสียงที่รุนแรง ตั้งแตเกิดมาในชีวิตของทุกคน ยังไม่เคยได้ยินเสียงที่ดังขนาดนั้นมากก่อน
8. อดอยากขาดแคลนอาหารอย่างหนัก
การเตรียมตัวเตรียมปัจจัยเพื่อตนเองและสมาชิกในครอบครัว
1. เตรียมอาหารและน้ำดื่มไวที่บ้านอย่างน้อย 3-6 เดือน
2. เครื่องนุ่งห่มเพื่อความอบอุ่นของร่างกาย ไดแก เสื้อผ้า กระเป๋าน้ำร้อน ผ้าห่ม ฯลฯ เพราะในช่วงเวลานั้นอากาศจะหนาวเย็นยะเยือก จะมีหิมะตกในภาคเหนือ และ ภาคอิสาน
3. เครื่องใชที่จําเป็นในชีวิตประจําวัน
4. ที่อยูอาศัยที่มีความพร้อมที่ปลูกพืชเป็นอาหาร ปลูกสมุนไพรใชในการรักษาโรค
5. ยารักษาโรคประจําตัว และ ยาสามัญประจําบ้าน ที่ทําการผลิตไม่นานยังไมหมดอายุ
6. ด่างทับทิมหรือ โซเดียม ไบคาร์บอเนต และ คาราไมล (จําเป็นมาก) ห้ามกินอาหารที่ไม่ไดล้างด้วยด่างทับทิม หรือ โซเดียมไบคาร์บอเนตเพราะจะมีทั้ง เชื้อโรค และ สารกัมมันตรังสี ส่วนคาราไมล
จะมีไว้รักษาโรคทางผิวหนัง ที่ดูเหมือนจะยากต่อการรักษา แต่เมื่อทาคาราไมลแล้ว จะหายคันไดอย่างน่าอัศจรรยในช่วงนั้น
7. ยานพาหนะ เชน เรือ เสื้อชูชีพ รองเท้ายางบู๊ท
8. เครื่องช่วยชีวิตอื่นๆ
9. สิ่งที่ใหความสว่าง เช่น เทียน ตะเกียงเจ้าพายุ (เวลานั้นท้องฟ้าจะมืดมิด 7 วัน 7 ราตรี หรืออาจยาวนานถึง 49 วัน ไฟฟ้าจะดับทั่วโลก เป็นเหตุให้คนตายทั่วโลกถึง 6,000 ล้านคน เพราะความหนาวเย็น
และ ไม่มีอาหารให้กิน ไม่มีน้ำ)
10. เตรียมสุขภาพร่างกายใหแข็งแรง โดยเฉพาะพลังจิตที่เข้มแข็ง ผู้ฝึกปฏิบติกรรมฐานที่ไดฌานสมาบัติ หรือ ได้มโนมยิทธิ หรือไดอภิญญา จะอยู่รอดไดทุกคนจึงจําเป็นต้องฝึกกกรรมฐานกันตั้งแต
วันนี้ และ เดี๋ยวนี้ เพื่อใหมีความคล่องแคล่ว มีความชํานาญ ในการเข้า-ออก จากฌาน ได้ในทุกขณะจิต
ลางบอกเหตุก่อนเกิดมหันตภัย ครั้งใหญ่ท้องฟ้าจะมืดมิดผิดปกติ ใบไม้จะพลิกคว่ำพลิกหงายให้เห็นมากผิดปกติและดูหดหู่ สัตว์ทั้งหลายจะไม่ปรากฏกายให้เห็นตามปกติ แต่ถ้ามีสัตว์เลี้ยงอยู่ในบ้าน จะเห็นมันวิ่งลุกลี้ลุกลนทุรนทุรายอย่างผิดปกติ
หรือ บางตัวจะนอนนิ่งน้ำตาซึม อย่างที่ท่านไม่เคยพบเห็นมาก่อน
สำหรับวันเวลาที่แน่นอน นั้น ในขณะนี้ ยังไม่เป็นที่ชัดเจน แต่มีความเป็นไปได้สูงว่า ไม่เกิดในปี 2555 ก็จะเป็นปี 2560 ซึ่งถึงคราวที่จะต้องเป็นชะตากรรมของสัตว์โลก ด้วยมหันตภัย ทางดิน น้ำ ลม ไฟ
โรคระบาด และ อุบัติภัยรวมทั้ง การทำศึกสงคราม
เหตุการณ์ต่างๆที่กล่าวมานั้น จะมีอยู่วันหนึ่ง ที่เหตุการณ์รุนแรงที่สุดคลื่นพลังมหาศาลจากจักรวาล จะกระแทกลงมายังโลก เป็นพลังงานที่เกิดจากลมพายุสุริยะอันเนื่องมาจากจุดดับบนดวงอาทิตย์จุดที่ 11 มนุษย์ทุกคนบนโลก จะได้พบกันเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวบรรยากาศช่วงแรกๆจะรู้สึกหดหู่ เวิ้งว้าง ท้องฟ้าจะวังเวงพิกลหลังจากนั้นไม่นานนัก ลมจะแรงขึ้น แรงขึ้น เสียงฟ้าเสียงลมจะแผดเสียงกึกก้องดังที่สุด ตั้งแต่เกิดมา แต่ละคนยังไม่เคยได้ยิน เป็นเสียงของพญามัจจุราชที่พิพากษาโลก ในด้านความเป็นมนุษย์ คนชั่วเกือบทุกคน จะถูกประหารชีวิตและ จะตายอย่างทรมาน ไม่เว้นแม้แต่ผู้นำสังคม ผู้นำเศรษฐกิจ ผู้นำทางการเมือง ผู้นำลัทธิ ผู้นำทางศาสนา ที่จิตมืดมัว ฯลฯ ส่วนคนดีจะได้รับการยกเว้นเอาไว้ ให้ได้ทำความดีโดยไม่มีอุปสรรคต่อไปปลายปี 2555 นี้ จะเกิดสงครามครั้งยิ่งใหญ่ของโลก ซึ่งจะส่งผลให้มีคนตายจำนวนมาก ส่วนผู้ที่รักษาศีล 5 ขึ้นไป จะรอด และ อีก 5 ปีต่อไปน้ำจะท่วมเกือบทุกภาคของประเทศไทย และจะมีคลื่นยักษ์ มีความร้ายแรงกว่าสึนามิครั้งก่อน ผู้คนที่รอดชีวิตจะต้องเดินทางๆไปทางเหนือ หรือ อิสาน เพื่อให้พ้นภัยโดยระหว่างทางจะพบกับคนนอนตายเกลื่อนกลาดจำนวนมาก
ประเทศไทย เป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ ที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครองรักษาไว้ ซึ่งจะได้รับความบอบช้ำจากมหันตภัยธรรมชาติน้อยที่สุดในโลก และจะเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ซึ่งมีความเจริญเป็นศูนย์กลางของโลกต่อไป คนไทยที่รอดชีวิตในครั้งนี้ไปได้ จะเข้าสู่ยุคใหม่ จะมีจิตใจที่ดีงาม และมีอายุไขที่ยาวมากกว่าช่วง 500ปีที่ผ่านมา จนน่าประหลาดใจ อารยธรรมจะสิ้นสุด และ จะกลับมีอารยธรรมที่จะเจริญก้าวหน้ามากกว่าเข้ามาแทนที่โดยเร็ว โดยเทคโนโลยีใหม่ จะไม่ก่อปัญหาให้กับสิ่งแวดล้อมของโลกมาก เท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้มนุษย์ยัง
สามารถที่จะติดต่อสื่อสาร กับเพื่อนมนุษย์ต่างดาวได้ ถึงแม้ในปัจจุบัน บางคนก็ไม่เชื่อว่า สิ่งเหล่านี้มีอยู่จริงก็ตาม......
ที่มา
http://www.greezzradio.in.th/board/read.php?tid=577
28 กุมภาพันธ์, 2554
22 กุมภาพันธ์, 2554
ท้องแล้วน้ำหนักขึ้นเท่าไรดี?
+ ไตรมาสแรก : น้ำหนักเพิ่ม 1-2 กิโลกรัม หรืออาจลดได้
ในช่วงตั้งครรภ์อ่อนๆ เป็นช่วงที่คุณแม่มักมีอาการแพ้ท้องหรือเบื่ออาหาร หรือบางคนอาจไม่แพ้เลย ซึ่งอาการแพ้ท้องก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้น้ำหนักของคุณแม่ไม่เพิ่มขึ้นหรืออาจลดลงได้ ทารกในช่วงนี้ยังไม่ต้องการอาหาร ในปริมาณมากแต่คุณค่าของอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า ต่อการเจริญเติบโต ในช่วงนี้คุณแม่ควรกินอาหารที่มีประโยชน์ครบถ้วน หากกินไม่ลงก็อาจกินอาหารอ่อนๆ ที่ย่อยง่ายแทน แบ่งกินมื้อย่อยๆ และไม่บังคับตัวเองว่าควรกินปริมาณมาก-น้อยเพียงใด เพราะจะทำให้เครียดได้
+ ไตรมาสที่สอง : น้ำหนักเพิ่ม 4 - 5 กิโลกรัม (เพิ่มเดือนละ 1 – 1.5 กิโลกรัม)
คุณแม่มักจะหายจากอาการแพ้ท้องแล้ว ทำให้กินอาหารได้มากขึ้น ประกอบกับทารกเริ่มโตเร็วขึ้น น้ำหนักตัวจึง เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงต้องระมัดระวังการกินจุบจิบและการกินอาหารที่มีไขมันสูงเพราะจะกลายเป็นไขมันสะสม ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย หากน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากจนเกินไป ก็จะทำให้เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ได้ง่าย
+ ไตรมาสที่สาม : น้ำหนักเพิ่ม 5 – 6 กิโลกรัม (เพิ่มเดือนละ 2 กิโลกรัม)การเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวในไตรมาสนี้ มีผลต่อ การคลอดและน้ำหนักตัวแรกคลอดของทารก ถ้าน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากจะทำให้คุณแม่อ้วนเกินไปทำให้หายใจลำบากขณะเบ่งคลอด และอาจทำให้ลูกตัวใหญ่กว่าช่องเชิงกรานทำให้คลอดยาก แต่ถ้าน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นน้อยอาจทำให้ทารกขาดสารอาหารและไม่แข็งแรงได้
แม่ท้องอ้วนไป-ผอมไป ก็ไม่ดีนะ
ในช่วงที่ตั้งครรภ์ คุณแม่ไม่ควรควบคุมน้ำหนักด้วย การอดอาหาร แต่ควรลดอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง เช่น ขนมหวาน อาหารทอด หันไปเลือกกินผลไม้สดและอาหารประเภทต้ม นึ่ง ย่างแทน การเพิ่มของน้ำหนักที่มากหรือ น้อยเกินไป ต่างก็ทำให้คุณแม่มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน ในขณะตั้งครรภ์ได้มากขึ้น โดยที่น้ำหนักตัวเพิ่มมากกว่าปกติ อาจทำให้น้ำตาลหรือไขมันในเลือดของแม่สูงกว่าปกติ เกิดเบาหวานหรือภาวะครรภ์เป็นพิษในขณะตั้งครรภ์ได้ เคลื่อนไหวร่างกายไม่สะดวกและเหนื่อยง่าย มือบวมเท้าบวม การลดน้ำหนักหลังคลอดลูกก็ทำได้ยาก แต่ถ้าน้ำหนักตัว ของแม่เพิ่มน้อย อาจทำให้ทารกมีการเจริญเติบโตช้า
กระชับหุ่นหลังคลอด
ในช่วงหลังคลอดไม่ควรเครียดกับการลดน้ำหนักมากเกินไปหรืออดอาหารเพราะยังต้องให้นมลูกอยู่ ควรเน้นกินอาหารที่ไม่ทอด เช่น ปลาลวก น่องไก่นึ่ง กินผักและผลไม้ ข้าวมื้อละ 1-2 ทัพพี หลีกเลี่ยงการกินจุบจิบระหว่างมื้ออาหาร และหมั่นชั่งน้ำหนักตัว
หลังคลอดแล้ว 6 สัปดาห์ เริ่มออกกำลังกายได้แล้ว อาจไปว่ายน้ำหรือพาลูกออกไปเดินเล่นนอกบ้าน ออกกำลังกายกระชับส่วนต่างๆ เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อหย่อนยาน อย่างน้อยวันละ 30 นาที
+ กระชับกล้ามเนื้อแขนและหน้าอก : นอนราบ จากนั้นยกแขนเหยียดตรงขึ้นตั้งฉากกับพื้น แล้วค่อย ๆ ปล่อยแขนไปทางศีรษะ จนแนบใบหูและยกแขนกลับมาแนบลำตัวอีกครั้ง ทำท่านี้ 8-10 ครั้ง
+ กระชับกล้ามเนื้อหน้าท้อง : นั่งขัดสมาธิ ยกแขนขึ้นตรงเหนือศีรษะ ยืดแขนข้างหนึ่งให้สุดแขนแล้วลดลง จากนั้นยืดแขนอีกข้างหนึ่งให้สุดแขน สลับกันไปเรื่อยๆ 10 ครั้ง โดยไม่ยกก้นจากพื้น
+ กระชับกล้ามเนื้อต้นขาและสะโพก : นอนหงาย ชันเข่าทั้งสองข้าง วางมือบนหน้าท้อง ผ่อนลมหายใจออกพร้อมกับค่อยๆ ยกลำตัวและขาข้างหนึ่งพร้อมกัน นิ่งค้างไว้ 3-5 วินาที แล้วจึงสลับกับขาอีกข้าง ทำทีละ 1-2 ครั้ง แล้วค่อย ๆ เพิ่มจำนวนครั้งขึ้นทีละเล็กน้อย
+ กระชับกล้ามเนื้อรอบปากช่องคลอด : ฝึกขมิบโดยทำเหมือนกับกลั้นปัสสาวะไว้นับ 1-5 แล้วค่อยๆ คลายกล้ามเนื้อออกช้าๆ แล้วเริ่มใหม่ ทำได้บ่อยเท่าที่ต้องการ
หากมีอาการผิดปกติใดๆ ให้หยุดออกกำลังกายแล้วไปพบแพทย์ทันที
น้ำหนักตัวที่เหมาะสมของคุณแม่ตลอดระยะการตั้งครรภ์ควรเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์ ดังนี้
แม่ท้องที่มีน้ำหนักปกติ น้ำหนักควรเพิ่ม 12 - 16 กิโลกรัม
แม่ท้องที่มีน้ำหนักน้อย / ผอม น้ำหนักควรเพิ่ม 13 – 18 กิโลกรัม
แม่ท้องที่มีน้ำหนักมาก น้ำหนักควรเพิ่ม 7 – 12 กิโลกรัม
แม่ท้องที่ตั้งครรภ์แฝด น้ำหนักควรเพิ่ม 16 – 20 กิโลกรัม
ทั้งนี้ น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ต้องพิจารณาร่วมกับ น้ำหนักก่อนตั้งครรภ์ ส่วนสูงและโครงร่าง รวมถึงพัฒนาการของทารกในครรภ์ประกอบด้วย หากน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นน้อย แต่ร่างกายยังแข็งแรง พัฒนาการของทารกยังปกติก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะ ทุกครั้งที่ไปตรวจครรภ์ คุณหมอจะเช็กน้ำหนักทุกครั้งที่ตรวจร่างกาย เพื่อให้แน่ใจว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานและทารกได้รับสารอาหาร ที่เพียงพอ และหากน้ำหนักขึ้นมากเกินไปหรือมีภาวะแทรกซ้อนคุณหมอจะแจ้งให้คุณแม่ทราบ
ที่มาhttp://women.sanook.com/mom-baby/pregnancy/pregnancy_55519.php
ความคิดส่วนตัวกับ-สภาวะนำมันพืชแพงแสนแพง
ปีนี้เมืองไทยมาแปลกครับ ราคาน้ำมันพืชสูงจนน่ากลัวครับ ส่วนตัวผมคิดว่าเป็นเรื่องดีครับที่เราคนไทยจะได้หันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพโดยไม่พึ่งน้ำมันพืช
อาหารทุกๆ มื้อสมัยนี้ต้องมีผัดมีทอดทุกๆมื้อเลย ก็เลยพบปัญหาโรคอ้วนกันทั่วไทย โรคความดัน โรคหัวใจ เบาหวานก็ตามมา เก๊าก็มากเลย หลายโรคครับที่เกิดจากการรับประทานอาหารที่มีน้ำมันเกินไป...
ต่างจากสมัยก่อนแกงเลียงผัก ต้มจืด น้ำพริก ปลาย่าง และอีกหลายเมนูที่ไม่ต้องพึ่งน้ำมันเลย ที่สำคัญมีสุขภาพดีด้วย เห็นอย่างนี้แล้ว เราจะเครียดกับราคาน้ำมันพืชแพงไปทำไมกันละครับท่านผู้อ่าน
เป็นโอกาสดีครับที่พวกเราคนไทย จะได้หันมาทานอาหารเมนูไร้น้ำมันกันตั้งแต่วันนี้........
บก.ครอบครัวพอเพียง
อาหารทุกๆ มื้อสมัยนี้ต้องมีผัดมีทอดทุกๆมื้อเลย ก็เลยพบปัญหาโรคอ้วนกันทั่วไทย โรคความดัน โรคหัวใจ เบาหวานก็ตามมา เก๊าก็มากเลย หลายโรคครับที่เกิดจากการรับประทานอาหารที่มีน้ำมันเกินไป...
ต่างจากสมัยก่อนแกงเลียงผัก ต้มจืด น้ำพริก ปลาย่าง และอีกหลายเมนูที่ไม่ต้องพึ่งน้ำมันเลย ที่สำคัญมีสุขภาพดีด้วย เห็นอย่างนี้แล้ว เราจะเครียดกับราคาน้ำมันพืชแพงไปทำไมกันละครับท่านผู้อ่าน
เป็นโอกาสดีครับที่พวกเราคนไทย จะได้หันมาทานอาหารเมนูไร้น้ำมันกันตั้งแต่วันนี้........
บก.ครอบครัวพอเพียง
21 กุมภาพันธ์, 2554
บอกเล่ากันฟัง
อัพเดทอาการ
การกิน....ปกติดี กินเก่งเหมือนเดิม
เพียงแต่ลดปริมาณข้าวและของหวานลง
การขับถ่าย....ก็ปกติ ไม่ท้องผูก
แต่รู้สึกว่าช่วงกลางคืนตอนนอนเนี่ย
จะลุกมาฉิ้งฉ่องบ่อยขึ้นแระ
มะก่อนจะลุกมาแค่1รอบ
ช่วงนี้ก็2-3รอบต่อคืนแว้วล่ะ
อาการท้องแข็ง....ก็ท้องแข็งทุกวันเหมือนเคย
แต่ว่าจะบ่อยมากขึ้นเป็น 6-7รอบต่อวัน
แต่ก็จะเป็นแป๊บเดียวก็หาย
เหมือนกับตอนเจ็บจิ๊
แม้ว่าตอนนี้จะเจ็บบ่อยขึ้น
แต่ก็เจ็บแป๊บเดียวก็หาย
บอกเล่าสุ่กันฟังจ้า
อัพเดทอาการ
การกิน....ปกติดี กินเก่งเหมือนเดิม
เพียงแต่ลดปริมาณข้าวและของหวานลง
การขับถ่าย....ก็ปกติ มีบางครท้องผูก
แต่รู้สึกว่าช่วงกลางคืนตอนนอนเนี่ย
จะลุกมาฉิ้งฉ่องบ่อยขึ้นแระ
มะก่อนจะลุกมาแค่1รอบ
ช่วงนี้ก็2-3รอบต่อคืนแว้วล่ะ
อาการท้องแข็ง....ก็ท้องแข็งทุกวันเหมือนเคย
แต่ว่าจะบ่อยมากขึ้นเป็น 6-7รอบต่อวัน
แต่ก็จะเป็นแป๊บเดียวก็หาย
เหมือนกับตอนเจ็บจิ๊มิ
แม้ว่าตอนนี้จะเจ็บบ่อยขึ้น
แต่ก็เจ็บแป๊บเดียวก็หาย
เวลานั่งบนพื้นอ่ะ ถ้านั่งนานๆ
จะเป็นเหน็บที่ขาทุกทีเลย
สมุนไพรในครัว ตะใคร้
สรรพคุณน่ารู้ : หมวดพืชสวนครัว : ตะไคร้ กลับไปเลือกสรรพคุณ
ส่วนที่ใช้
ต้น หัว ใบ ราก และต้น
สรรพคุณ
ทั้งต้น : ใช้เป็นยารักษาโรคหืด แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะและแก้อหิวาตกโรค หรือทำเป็นยาทานวดก็ได้ และยังใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอื่นรักษาโรคได้ เช่น บำรุงธาตุ เจริญอาหาร และขับเหงื่อ
หัว : เป็นยารักษาเกลื้อน แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ปัสสาวะพิการ แก้นิ่ว บำรุงไฟธาตุ แก้อาการขัดเบา ถ้าใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอื่น จะเป็นยาแก้อาเจียน แก้ทราง ยานอนหลับลดความดันสูง แก้ลมอัมพาต แก้กษัยเส้น และแก้ลมใบ ใบสด ๆ จะช่วยลดความดันโลหิตสูง แก้ไข้
ราก : ใช้เป็นยาแก้ไข้เหนือ ปวดท้องและท้องเสีย
ต้น : ใช้เป็นยาแก้ขับลม แก้เบื่ออาหาร แก้ผมแตก แก้โรคทางเดินปัสสาวะ นิ่ว เป็นยาบำรุงไฟธาตุให้เจริญ แต่ถ้าเอาผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น จะแก้โรคหนองใน และนอกจากนี้ยังใช้ดับกลิ่นคาวด้วย
Tips
มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด นำเอาตะไคร้ที่มีลำต้นแก่ และสด ๆ มา ประมาณ 1 กำมือ ทุบให้แหลกพอดีแล้วนำไปต้มน้ำดื่ม หรืออีกวิธีหนึ่งเอาตะไคร้ทั้งต้นรากด้วยมาสัก 5 ต้นแล้วสับเป็นท่อนต้นกับเกลือ จากน้ำ 3 ส่วนให้เหลือเพียง 1 ส่วนแล้วทานสัก 3 วัน ๆ ละ 1 ถ้วยแก้วก็จะหาย
ที่มา:
http://www.chuankin.com/properties_text.php?property_id=30&property_type=2
ส่วนที่ใช้
ต้น หัว ใบ ราก และต้น
สรรพคุณ
ทั้งต้น : ใช้เป็นยารักษาโรคหืด แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะและแก้อหิวาตกโรค หรือทำเป็นยาทานวดก็ได้ และยังใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอื่นรักษาโรคได้ เช่น บำรุงธาตุ เจริญอาหาร และขับเหงื่อ
หัว : เป็นยารักษาเกลื้อน แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ปัสสาวะพิการ แก้นิ่ว บำรุงไฟธาตุ แก้อาการขัดเบา ถ้าใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอื่น จะเป็นยาแก้อาเจียน แก้ทราง ยานอนหลับลดความดันสูง แก้ลมอัมพาต แก้กษัยเส้น และแก้ลมใบ ใบสด ๆ จะช่วยลดความดันโลหิตสูง แก้ไข้
ราก : ใช้เป็นยาแก้ไข้เหนือ ปวดท้องและท้องเสีย
ต้น : ใช้เป็นยาแก้ขับลม แก้เบื่ออาหาร แก้ผมแตก แก้โรคทางเดินปัสสาวะ นิ่ว เป็นยาบำรุงไฟธาตุให้เจริญ แต่ถ้าเอาผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น จะแก้โรคหนองใน และนอกจากนี้ยังใช้ดับกลิ่นคาวด้วย
Tips
มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด นำเอาตะไคร้ที่มีลำต้นแก่ และสด ๆ มา ประมาณ 1 กำมือ ทุบให้แหลกพอดีแล้วนำไปต้มน้ำดื่ม หรืออีกวิธีหนึ่งเอาตะไคร้ทั้งต้นรากด้วยมาสัก 5 ต้นแล้วสับเป็นท่อนต้นกับเกลือ จากน้ำ 3 ส่วนให้เหลือเพียง 1 ส่วนแล้วทานสัก 3 วัน ๆ ละ 1 ถ้วยแก้วก็จะหาย
ที่มา:
http://www.chuankin.com/properties_text.php?property_id=30&property_type=2
17 กุมภาพันธ์, 2554
วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 วันมาฆบูชา
ความสำคัญและประวัติของวันมาฆบูชา
ความสำคัญของวันมาฆบูชา คือเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง "โอวาทปาติโมกข์" แก่พระสงฆ์เป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้มาแล้วเป็นเวลา 9 เดือน ซึ่งหลักคำสอนนี้เป็นหลักการ และวิธีการปฏิบัติต่างๆ หากสรุปเป็นใจความสำคัญ จะมีเนื้อหาว่า "ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์"
ทั้งนี้ในวันมาฆบูชาได้เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นพร้อมๆ กันถึง 4 ประการ อันได้แก่
1.วันนั้นตรงกับวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ซึ่งพระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์
2.มีพระสงฆ์จำนวน 1,250 รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ เพื่อสักการะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
3.พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ ผู้ได้อภิญญา 6
4.พระสงฆ์ทั้งหมดได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้า หรือ "เอหิภิกขุอุปสัมปทา"
และเพราะเกิดเหตุอัศจรรย์ 4 ประการข้างต้น ทำให้วันมาฆบูชา เรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" ซึ่งคำว่า "จาตุรงคสันนิบาต" นี้ มีความหมายตามการแยกศัพท์คือ
จาตุร แปลว่า 4
องค์ แปลว่า ส่วน
สันนิบาต แปลว่า ประชุม
ดังนั้น "จาตุรงคสันนิบาต" จึงหมายความว่า "การประชุมด้วยองค์ 4" นั่นเองประเทศไทยเริ่มกำหนดพิธีปฏิบัติในวันมาฆบูชาเป็นครั้งแรกในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ซึ่งมีการประกอบพิธีเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2394 ในพระบรมมหาราชวังก่อน โดยมีพิธีพระราชกุศลในเวลาเช้า นมัสการพระสงฆ์จากวัดบวรนิเวศวรวิหารและวัดราชประดิษฐ์จำนวน 30 รูป ฉันภัตตาหารในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ต่อมาการประกอบพิธีมาฆบูชาได้แพร่หลายออกไปภายนอกพระบรมมหาราชวัง และประกอบพิธีกันทั่วราชอาณาจักร ทางรัฐบาลจึงประกาศให้เป็นวันหยุดทางราชการด้วย เพื่อให้ประชาชนจากทุกสาขาอาชีพได้ไปวัด เพื่อทำบุญกุศลและประกอบกิจกรรมทางศาสนา
นอกจากนี้ในปี พ.ศ.2549 รัฐบาลไทยประกาศให้วันมาฆบูชา ให้เป็นวันกตัญญูแห่งชาติอีกด้วย
กิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันมาฆบูชา
การปฏิบัติตนสำหรับพุทธศาสนิกชนในวันมาฆบูชาคือ คือ ในตอนเช้า ควรไปทำบุญตักบาตร ไปวัดเพื่อฟังพระธรรมเทศนา หรือจัดสำรับคาวหวานไปทำบุญถวายภัตตาหาร ช่วงบ่ายฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา เจริญสมาธิภาวนา เมื่อถึงตอนค่ำ นำดอกไม้ ธูปเทียนไปเวียนเทียน 3 รอบที่พระอุโบสถ โดยการเวียนเทียนนั้นจะเวียนขวา จำนวน 3 รอบ และช่วงเวลาที่เดินอยู่นั้นให้ระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นอกจากนี้พุทธศาสนิกชนควรบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ตามสถานที่ต่างๆ และรักษาศีล สำหรับตามบ้านเรือน สถานที่ราชการ จะมีการประดับธงชาติ ธงธรรมจักร เพื่อระลึกถึงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
ความสำคัญของวันมาฆบูชา คือเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง "โอวาทปาติโมกข์" แก่พระสงฆ์เป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้มาแล้วเป็นเวลา 9 เดือน ซึ่งหลักคำสอนนี้เป็นหลักการ และวิธีการปฏิบัติต่างๆ หากสรุปเป็นใจความสำคัญ จะมีเนื้อหาว่า "ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์"
ทั้งนี้ในวันมาฆบูชาได้เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นพร้อมๆ กันถึง 4 ประการ อันได้แก่
1.วันนั้นตรงกับวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ซึ่งพระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์
2.มีพระสงฆ์จำนวน 1,250 รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ เพื่อสักการะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
3.พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ ผู้ได้อภิญญา 6
4.พระสงฆ์ทั้งหมดได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้า หรือ "เอหิภิกขุอุปสัมปทา"
และเพราะเกิดเหตุอัศจรรย์ 4 ประการข้างต้น ทำให้วันมาฆบูชา เรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" ซึ่งคำว่า "จาตุรงคสันนิบาต" นี้ มีความหมายตามการแยกศัพท์คือ
จาตุร แปลว่า 4
องค์ แปลว่า ส่วน
สันนิบาต แปลว่า ประชุม
ดังนั้น "จาตุรงคสันนิบาต" จึงหมายความว่า "การประชุมด้วยองค์ 4" นั่นเองประเทศไทยเริ่มกำหนดพิธีปฏิบัติในวันมาฆบูชาเป็นครั้งแรกในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ซึ่งมีการประกอบพิธีเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2394 ในพระบรมมหาราชวังก่อน โดยมีพิธีพระราชกุศลในเวลาเช้า นมัสการพระสงฆ์จากวัดบวรนิเวศวรวิหารและวัดราชประดิษฐ์จำนวน 30 รูป ฉันภัตตาหารในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ต่อมาการประกอบพิธีมาฆบูชาได้แพร่หลายออกไปภายนอกพระบรมมหาราชวัง และประกอบพิธีกันทั่วราชอาณาจักร ทางรัฐบาลจึงประกาศให้เป็นวันหยุดทางราชการด้วย เพื่อให้ประชาชนจากทุกสาขาอาชีพได้ไปวัด เพื่อทำบุญกุศลและประกอบกิจกรรมทางศาสนา
นอกจากนี้ในปี พ.ศ.2549 รัฐบาลไทยประกาศให้วันมาฆบูชา ให้เป็นวันกตัญญูแห่งชาติอีกด้วย
กิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันมาฆบูชา
การปฏิบัติตนสำหรับพุทธศาสนิกชนในวันมาฆบูชาคือ คือ ในตอนเช้า ควรไปทำบุญตักบาตร ไปวัดเพื่อฟังพระธรรมเทศนา หรือจัดสำรับคาวหวานไปทำบุญถวายภัตตาหาร ช่วงบ่ายฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา เจริญสมาธิภาวนา เมื่อถึงตอนค่ำ นำดอกไม้ ธูปเทียนไปเวียนเทียน 3 รอบที่พระอุโบสถ โดยการเวียนเทียนนั้นจะเวียนขวา จำนวน 3 รอบ และช่วงเวลาที่เดินอยู่นั้นให้ระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นอกจากนี้พุทธศาสนิกชนควรบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ตามสถานที่ต่างๆ และรักษาศีล สำหรับตามบ้านเรือน สถานที่ราชการ จะมีการประดับธงชาติ ธงธรรมจักร เพื่อระลึกถึงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
ข้อเสนอแนะการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมในวันมาฆบูชา
กิจกรรมเกี่ยวกับครอบครัว
กิจกรรมที่ครอบครัวควรทำในวันมาฆบูชา อย่างเช่น การทำความสะอาดบ้าน จัดแต่งที่บูชาประจำบ้าน ชักชวนครอบครัวไปทำบุญตักบาตร ฟังศีล ฟังธรรม บำเพ็ญกุศล ปฏิบัติธรรม รวมทั้งควรศึกษาหลักธรรมคำสั่งสอน และความสำคัญของวันมาฆบูชาด้วย
กิจกรรมเกี่ยวกับสถานศึกษา
ในสถานศึกษาเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญอีกแห่ง โดยภายในสถานศึกษาควรมีการร่วมรำลึกถึงความสำคัญของวันมาฆบูชา เช่น จัดนิทรรศการให้ความรู้ ประกวดเรียงความ ตอบปัญหาธรรมะ บรรยายธรรม หรือร่วมกันทำบุญ ตักบาตร เวียนเทียน บำเพ็ญกุศล อีกทั้งประกาศเกียรติคุณนักเรียนผู้ทำประโยชน์ ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี
กิจกรรมเกี่ยวกับสถานที่ทำงาน
ควรประชาสัมพันธ์ในที่ทำงาน และจัดให้มีการบรรยายธรรม หรือร่วมบำเพ็ญประโยชน์ร่วมกัน ร่วมทำบุญ บำเพ็ญกุศลร่วมกัน
กิจกรรมเกี่ยวกับสังคม
ข้อเสนอแนะการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมในวันมาฆบูชา
กิจกรรมเกี่ยวกับครอบครัว
กิจกรรมที่ครอบครัวควรทำในวันมาฆบูชา อย่างเช่น การทำความสะอาดบ้าน จัดแต่งที่บูชาประจำบ้าน ชักชวนครอบครัวไปทำบุญตักบาตร ฟังศีล ฟังธรรม บำเพ็ญกุศล ปฏิบัติธรรม รวมทั้งควรศึกษาหลักธรรมคำสั่งสอน และความสำคัญของวันมาฆบูชาด้วย
ภาคส่วนต่างๆ ในสังคม ไม่ว่าจะเป็น วัด มูลนิธิ สมาคม สื่อมวลชน สนามบิน สถานีรถไฟ ฯลฯ ควรช่วยกันประชาสัมพันธ์ความสำคัญของวันมาฆบูชา อาจเป็นการพิมพ์เอกสารให้ความรู้ จัดให้มีการเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาร่วมกัน เช่น ทำบุญตักบาตร ฟังธรรม ช่วยกันรณรงค์ให้เลิกอบายมุข แต่รณรงค์ให้ช่วยกันทำประโยชน์ต่อสังคมแทน อาจช่วยกันปลูกต้นไม้ ทำความสะอาดที่สาธารณะ ฯลฯ
ที่มาhttp://kapook.com/
เคล็ดลับ เรื่องในครัว
ต้มผักให้สีเขียวสวยด้วยวิธีไหนคนไทยนิยมกินน้ำพริกต่างๆคู่กับผัก และน้ำพริกนี้ถือได้ว่าเป็นสำรับเอก
ที่ใช้ในการรับแขก ซึ่งหากผักที่ใช้กินคู่กับน้ำพริกนั้นมีสีสันไม่น่ากิน ก็จะทำให้
เ จ้าบ้านเกิดความอับอายได้ วิธีที่จะทำให้ผักมีสีสวยงาม คือ ใส่เกลือป่นลงใน
น้ำสำหรับต้มผักสีเขียว และเหยาะน้ำมันพืชเล็กน้อยจะทำให้ผักมีผิวมันน่ากิน
ยิ่งขึ้น ส่วนผักสีขาว เช่นกะหล่ำปลี และหัวไชเท้า ให้ใส่น้ำส้มสายชูลงในน้ำที่
ต้ม ผักจะมีสีขาวสวย
เคล็ดลับแกงเลียงให้อร่อยได้หลายๆมื้อแกงเลียงอาหารที่มีรสชาติเฉพาะตัว อร่อยเผ็ดร้อนพริกไทย หอมกลิ่น
สมุนไพรจากพืชผักหลากหลายชนิด มีประโยชน์ในการขับพิษไข้เป็นอย่างดี
บ่อยครั้งที่ด้วยความอร่อยแม่บ้านจึงอยากทำไว้เยอะๆ เผื่อรับประทานได้
มากกว่า 1 มื้อ แต่ก็เจ้ากรรมพอถึงมื้อที่สอง แกงกลับไม่น่ารับประทานเสียแล้ว เพราะเนื้อผักเละไปหมด
แก้ปัญหาได้ไม่ยากเลยค่ะ เวลาทำน้ำแกงเสร็จแล้ว อย่าเพิ่งใส่ผัก แบ่งน้ำแกงส่วนที่อยากจะเก็บไว้ออกไปเสียก่อน หรือจะตักแบ่งออกมา
เฉพาะส่วนที่จะทานวันนี้ก็ได้ค่ะ ค่อยใส่ผักลงไปเดือดอีกครั้งก่อนตักเสิร์ฟ
น้ำแกงส่วนที่จะเก็บให้แช่ไว้ในตู้เย็น เวลาจะรับประทานค่อยนำออกมาอุ่นร้อน
และใส่ผักค่ะ
ที่มาจากhttp://www.thaifooddb.com/tips.html
ที่ใช้ในการรับแขก ซึ่งหากผักที่ใช้กินคู่กับน้ำพริกนั้นมีสีสันไม่น่ากิน ก็จะทำให้
เ จ้าบ้านเกิดความอับอายได้ วิธีที่จะทำให้ผักมีสีสวยงาม คือ ใส่เกลือป่นลงใน
น้ำสำหรับต้มผักสีเขียว และเหยาะน้ำมันพืชเล็กน้อยจะทำให้ผักมีผิวมันน่ากิน
ยิ่งขึ้น ส่วนผักสีขาว เช่นกะหล่ำปลี และหัวไชเท้า ให้ใส่น้ำส้มสายชูลงในน้ำที่
ต้ม ผักจะมีสีขาวสวย
เคล็ดลับแกงเลียงให้อร่อยได้หลายๆมื้อแกงเลียงอาหารที่มีรสชาติเฉพาะตัว อร่อยเผ็ดร้อนพริกไทย หอมกลิ่น
สมุนไพรจากพืชผักหลากหลายชนิด มีประโยชน์ในการขับพิษไข้เป็นอย่างดี
บ่อยครั้งที่ด้วยความอร่อยแม่บ้านจึงอยากทำไว้เยอะๆ เผื่อรับประทานได้
มากกว่า 1 มื้อ แต่ก็เจ้ากรรมพอถึงมื้อที่สอง แกงกลับไม่น่ารับประทานเสียแล้ว เพราะเนื้อผักเละไปหมด
แก้ปัญหาได้ไม่ยากเลยค่ะ เวลาทำน้ำแกงเสร็จแล้ว อย่าเพิ่งใส่ผัก แบ่งน้ำแกงส่วนที่อยากจะเก็บไว้ออกไปเสียก่อน หรือจะตักแบ่งออกมา
เฉพาะส่วนที่จะทานวันนี้ก็ได้ค่ะ ค่อยใส่ผักลงไปเดือดอีกครั้งก่อนตักเสิร์ฟ
น้ำแกงส่วนที่จะเก็บให้แช่ไว้ในตู้เย็น เวลาจะรับประทานค่อยนำออกมาอุ่นร้อน
และใส่ผักค่ะ
ต้มปลาไม่ให้คาววิธีการต้มปลาไม่ให้มีกลิ่นเหม็นคาว ก็คือ ให้ใส่ใบชาจีนลงไปในหม้อต้ม สัก 6-7 ใบ ยิ่งถ้าทุบหอมแดงลงไปสัก 2-3 หัว ก็จะยิ่งเพิ่มรสชาติปลาต้ม ให้ดีขึ้นไปอีกค่ะ |
15 กุมภาพันธ์, 2554
คุยทุกปัญหาเกี่ยวกับการดูเเลครรภ์เเตล่ะสัปดาห์
ยามบ่ายจ้า!!!!วันนี้ บก. มีสาระดีๆมาฝากคุณเเม่มือใหม่กันเเละคุณเเม่ท่านอื่นๆ
ก็สามารถคลิกเข้ามาดูเนื้อหาสาระนี้ได้ไม่จำกัดหากมีข้อสงสัยสามารถติชมผ่านเว็ปของเราได้เรายินดีให้คำปรึกษาน่ะค่ะเเละเป็นสื่อกลางในการประชาสัมพันธ์จ้า
ดูแลครรภ์สัปดาห์ที่ 1-8
ช่วง 8 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ จะเริ่มมีอาการผิดปกติที่แสดงออกถึงการตั้งครรภ์ ซึ่งบางทีคุณแม่อาจจะไม่รู้ตัวเลยก็ได้ว่า ลูกน้อยถือกำเนิดในครรภ์แล้ว
ซึ่งอาการต่างๆ มักจะเริ่มเมื่อ 1-3 สัปดาห์แรก ซึ่งเป็นช่วงตกไข่และมีการฝังตัวของตัวอ่อน ทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้น อาจมีเลือดออกเล็กน้อยทางช่องคลอด ก็ไม่ได้เป็นเรื่องน่าตกใจ โดยในสัปดาห์ที่ 4 ประจำเดือนที่เคยมาปกติก็ไม่มา ทำให้คุณแม่บางคนสังเกตได้ว่าตั้งครรภ์ในช่วงนี้ โดยอาจใช้ชุดตรวจการตั้งครรภ์ หรือไปพบแพทย์เพื่อตรวจให้แน่ใจ ซึ่งหากมั่นใจแล้วว่าตั้งครรภ์แน่นอน ก็ควรเริ่มกินโฟลิคให้ได้วันละ 4,000 มิลลิกรัม โดยมากแพทย์จะสั่งจ่ายให้ หรืออาจจะเลือกกินอาหารที่มีโฟลิคมาก เช่น บร็อคโคลี ผักปวยเล้ง ถั่วต่างๆ ขนมปังโฮลวีต เสริมด้วย
จนเมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 7-8 เป็นช่วงที่คุณแม่อาจสังเกตว่ามีอาการตกขาวมาก จึงควรดูแลอนามัยช่องคลอดให้ดี สังเกตว่ามีตกขาวมากผิดปกติแค่ไหน ซึ่งบางครั้งอาจเกิดจากการติดเชื้อด้วย ก็ไม่ควรปล่อยไว้นาน เพราะอาจลุกลามไปถึงโพรงมดลูก ทำให้มีอาการอักเสบ ส่งผลกระทบต่อตัวอ่อนที่ฝังตัวในผนังมดลูก และมีผลต่อการเจริญเติบโตของตัวอ่อนช่วง 3 เดือนแรกด้วย
สิ่งสำคัญที่สุดเมื่อแน่ใจแล้วว่าตั้งครรภ์ ช่วงเริ่มต้น 8 สัปดาห์แรก คุณแม่ควรไปตรวจเช็คสุขภาพ เพื่อป้องกันปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับการตั้งครรภ์ ไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ และถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น ตกเลือด ต้องไปพบแพทย์ทันที
ที่มาจากhttp://www.dumex.co.th
ก็สามารถคลิกเข้ามาดูเนื้อหาสาระนี้ได้ไม่จำกัดหากมีข้อสงสัยสามารถติชมผ่านเว็ปของเราได้เรายินดีให้คำปรึกษาน่ะค่ะเเละเป็นสื่อกลางในการประชาสัมพันธ์จ้า
ดูแลครรภ์สัปดาห์ที่ 1-8
ช่วง 8 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ จะเริ่มมีอาการผิดปกติที่แสดงออกถึงการตั้งครรภ์ ซึ่งบางทีคุณแม่อาจจะไม่รู้ตัวเลยก็ได้ว่า ลูกน้อยถือกำเนิดในครรภ์แล้ว
ซึ่งอาการต่างๆ มักจะเริ่มเมื่อ 1-3 สัปดาห์แรก ซึ่งเป็นช่วงตกไข่และมีการฝังตัวของตัวอ่อน ทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้น อาจมีเลือดออกเล็กน้อยทางช่องคลอด ก็ไม่ได้เป็นเรื่องน่าตกใจ โดยในสัปดาห์ที่ 4 ประจำเดือนที่เคยมาปกติก็ไม่มา ทำให้คุณแม่บางคนสังเกตได้ว่าตั้งครรภ์ในช่วงนี้ โดยอาจใช้ชุดตรวจการตั้งครรภ์ หรือไปพบแพทย์เพื่อตรวจให้แน่ใจ ซึ่งหากมั่นใจแล้วว่าตั้งครรภ์แน่นอน ก็ควรเริ่มกินโฟลิคให้ได้วันละ 4,000 มิลลิกรัม โดยมากแพทย์จะสั่งจ่ายให้ หรืออาจจะเลือกกินอาหารที่มีโฟลิคมาก เช่น บร็อคโคลี ผักปวยเล้ง ถั่วต่างๆ ขนมปังโฮลวีต เสริมด้วย
จนเมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 7-8 เป็นช่วงที่คุณแม่อาจสังเกตว่ามีอาการตกขาวมาก จึงควรดูแลอนามัยช่องคลอดให้ดี สังเกตว่ามีตกขาวมากผิดปกติแค่ไหน ซึ่งบางครั้งอาจเกิดจากการติดเชื้อด้วย ก็ไม่ควรปล่อยไว้นาน เพราะอาจลุกลามไปถึงโพรงมดลูก ทำให้มีอาการอักเสบ ส่งผลกระทบต่อตัวอ่อนที่ฝังตัวในผนังมดลูก และมีผลต่อการเจริญเติบโตของตัวอ่อนช่วง 3 เดือนแรกด้วย
สิ่งสำคัญที่สุดเมื่อแน่ใจแล้วว่าตั้งครรภ์ ช่วงเริ่มต้น 8 สัปดาห์แรก คุณแม่ควรไปตรวจเช็คสุขภาพ เพื่อป้องกันปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับการตั้งครรภ์ ไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ และถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น ตกเลือด ต้องไปพบแพทย์ทันที
เมื่อเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย คุณแม่จะเริ่มมีอาการแพ้ท้อง คือ เวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน จนบางคนไม่สามารถกินอะไรได้เลย ควรแก้ปัญหาด้วยการกินอาหารทีละน้อย แต่กินบ่อยครั้ง เพื่อให้ได้รับสารอาหารอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้ามีอาการแพ้ท้องมาก แพทย์อาจจะสั่งยาแก้แพ้ให้
ที่มาจากhttp://www.dumex.co.th
การอยากอาหารระหว่างตั้งครรถ์โดยทั่วไป
เป็นเพราะฮอร์โมนประหลาดในช่วงตั้งครรภ์ใช่หรือไม่? ทำให้คุณแม่นึกถึงมะม่วงดิบวันละพันครั้ง หรือเป็นเพราะร่างกายของคุณแม่เองพยายามที่จะบอกอะไรบางอย่าง การอยากอาหารเป็นความต้องการที่รุนแรงเพื่อให้ได้ทานสิ่งที่ต้องการ แม้ว่าอาจเป็นสิ่งที่ไม่เคยอยากทานมาก่อนเลยก็ได้ ว่าที่คุณแม่ส่วนใหญ่มักจะรู้สึกอยากอาหารเหล่านี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากคุณแม่จะรู้สึกอยากทานของเหล่านี้ในระหว่างตั้งครรภ์
บางครั้งการอยากอาหาร ก็เป็นการบอกใบ้ถึงสิ่งที่ควรรับประทานเพิ่มเข้าไปในร่างกาย อย่างเช่น หากคุณแม่อยากทานมะกอกดองเค็ม คุณแม่ก็อาจจะต้องการเพิ่มการทานโซเดียมอีกเล็กน้อย เพราะร่างกายต้องการโซเดียมมากว่าปกติในระหว่างตั้งครรภ์
คุณแม่บางท่านอาจรู้สึกอยากทานสิ่งที่ไม่ใช่อาหารในบางครั้ง เช่น ทราย ถ่าน น้ำแข็ง หรือดิน อาการเช่นนี้ เรียกกันว่า “ Pica” และยังไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด บางคนบอกว่าเป็นเพราะร่างกายขาดธาตุเหล็กหรือแคลเซียม แต่บางคนก็บอกว่า เป็นเพราะร่างกายพยายามรักษาตัวเองจากอาการ คลื่นไส้ สิ่งสำคัญคือ คุณแม่ควรที่จะต้านความรู้สึกอยากทานสิ่งที่ไม่ใช่อาหาร เพราะการทานสิ่งเหล่านั้นเข้าไปอาจเป็นอันตรายได้ และจริงๆ แล้วก็คงไม่มีใครที่อยากจะทานข้าวคลุกกับทรายแน่นอน
ส่วนใหญ่แล้ว อาการอยากอาหารแปลกๆในช่วงตั้งครรภ์จะเกิดขึ้นในช่วงแรกๆ แล้วค่อยๆ หายไป หรือไม่ค่อยอยากมากนัก แต่ถ้าไม่หาย คุณแม่ก็ไม่ต้องรู้สึกกังวลมากเกินไป เพียง รับประทาน อาหารครบทั้งห้าหมู่ และเลือกอาหารให้มีสารอาหารที่เหมาะสมในแต่ละมื้อ ก็สามารถช่วยให้คุณแม่รับสารอาหารอย่างครบถ้วนและเพียงพอได้ แต่ต้องไม่ใช่การเอาของดองมาทานแทนมื้ออาหารเช้า กลางวัน และเย็น
ถ้าคุณสังเกตเห็นว่าตัวเองเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้น นี่อาจเป็นสัญญาณที่น่ายินดีว่าคุณกำลังเริ่มตั้งครรภ์แล้ว ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในช่วง 3เดือนแรกจะทำให้คุณปวดปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ
สัญญาณเริ่มต้นของการตั้งครรภ์ที่พบเห็นได้บ่อยอีกประการหนึ่งก็คือความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยหมดเรี่ยวแรง ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากการเพิ่มขึ้นของระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในร่างกายดังนั้นหากคุณรู้สึกเหนื่อยง่ายโดยไม่มีสาเหตุลองตรวจสอบดูว่าเป็นเพราะคุณกำลังตั้งครรภ์หรือเปล่า
คุณแม่บางท่านเล่าว่าครั้งแรกที่ตั้งครรภ์จะรู้สึกขมเฝื่อนหรือมีรสชาติแปลกๆในปากขณะที่คุณแม่อีกหลายท่านก็รู้สึกเหม็นหรือทนไม่ได้กับอาหารหรือเครื่องดื่มที่เคยทานอยู่ทุกวันเช่นชาหรือกาแฟ
ผิวหนังบริเวณรอบเต้านมหรือที่เรียกว่าลานนมจะมีสีคล้ำขึ้นและมีขนาดใหญ่ขึ้น
ไข่ที่ปฏิสนธิแล้วจะเดินทางจากท่อนำไข่เพื่อไปฝังตัวที่ผนังมดลูกและรอการเติบโต กระบวนการนี้เรียกว่า การฝังตัวของไข่ที่ผสมแล้ว และมักจะเกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ 3 และ 4 ซึ่งอาจส่งผลข้างเคียง เช่น การเป็นตะคริว และมีเลือดออกกะปริดกะปรอย โดยเลือดอาจมีสีแดงสด สีชมพู หรือสีน้ำตาล
แน่นอนว่าหนทางเดียวที่จะแน่ใจว่าคุณตั้งครรภ์แล้วก็คือการทดสอบการตั้งครรภ์โดยผลทดสอบนับจากวันแรกที่ประจำเดือนขาดไปหากเป็นผลบวกก็มั่นใจได้ว่าตั้งครรภ์แน่นอน
- ของหวาน
- อาหารที่ทำจากนม
- ขนมขบเคี้ยวรสเค็ม
- ผลไม้รสเปรี้ยว (เช่น พืชตระกูลมะนาว หรือส้ม)
- อาหารเผ็ด รสจัด
บางครั้งการอยากอาหาร ก็เป็นการบอกใบ้ถึงสิ่งที่ควรรับประทานเพิ่มเข้าไปในร่างกาย อย่างเช่น หากคุณแม่อยากทานมะกอกดองเค็ม คุณแม่ก็อาจจะต้องการเพิ่มการทานโซเดียมอีกเล็กน้อย เพราะร่างกายต้องการโซเดียมมากว่าปกติในระหว่างตั้งครรภ์
การอยากรับประทานสิ่งที่ไม่ใช่อาหาร
คุณแม่บางท่านอาจรู้สึกอยากทานสิ่งที่ไม่ใช่อาหารในบางครั้ง เช่น ทราย ถ่าน น้ำแข็ง หรือดิน อาการเช่นนี้ เรียกกันว่า “ Pica” และยังไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด บางคนบอกว่าเป็นเพราะร่างกายขาดธาตุเหล็กหรือแคลเซียม แต่บางคนก็บอกว่า เป็นเพราะร่างกายพยายามรักษาตัวเองจากอาการ คลื่นไส้ สิ่งสำคัญคือ คุณแม่ควรที่จะต้านความรู้สึกอยากทานสิ่งที่ไม่ใช่อาหาร เพราะการทานสิ่งเหล่านั้นเข้าไปอาจเป็นอันตรายได้ และจริงๆ แล้วก็คงไม่มีใครที่อยากจะทานข้าวคลุกกับทรายแน่นอน
คุณแม่จะอยากรับประทานแต่ของดองไปตลอดเลยหรือไม่
ส่วนใหญ่แล้ว อาการอยากอาหารแปลกๆในช่วงตั้งครรภ์จะเกิดขึ้นในช่วงแรกๆ แล้วค่อยๆ หายไป หรือไม่ค่อยอยากมากนัก แต่ถ้าไม่หาย คุณแม่ก็ไม่ต้องรู้สึกกังวลมากเกินไป เพียง รับประทาน อาหารครบทั้งห้าหมู่ และเลือกอาหารให้มีสารอาหารที่เหมาะสมในแต่ละมื้อ ก็สามารถช่วยให้คุณแม่รับสารอาหารอย่างครบถ้วนและเพียงพอได้ แต่ต้องไม่ใช่การเอาของดองมาทานแทนมื้ออาหารเช้า กลางวัน และเย็น
แพ้ท้อง สัญญาณบ่งบอกว่าคุณตั้งครรภ์
อาการแพ้ท้อง มักแตกต่างกันไปในแต่ละคน คุณแม่บางท่าน อาจมีอาการคลื่นไส้หรือรู้สึกไม่สบาย โดยมักจะเกิดขึ้นหลังจากตั้งครรภ์ได้สัก 2-3 สัปดาห์ แต่บางท่านก็มีอาการเพียงแค่ไม่กี่วันหลังตั้งครรภ์ ถ้าโชคดี คุณอาจไม่มีอาการแพ้ท้องเลยก็ได้ และการแพ้ท้องอาจเกิดขึ้นเวลาใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นช่วงเช้าเสมอไป ปัสสาวะบ่อยขึ้น
รู้สึกเหนื่อยง่ายหรือเปล่า
รสชาติแปลกๆ ในปาก
การเปลี่ยนแปลงของเต้านม
มีเลือดออกโดยไม่คาดคิดหรือเป็นตะคริว
ตรวจสอบให้แน่ใจด้วยการทดสอบการตั้งครรภ์
ที่มาจากhttp://www.dumex.co.th
สาระน่ารู้จ้า เกี่ยวกับคุณเเม่!!!
สารอาหารหลักระหว่างการตั้งครรภ์
สารอาหารบางชนิดมีบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโตของลูกน้อยในครรภ์ คลิกชื่อสารอาหารที่คุณสนใจเพื่ออ่านข้อมูลเพิ่มเติม
วิตามินและสารอาหารที่คุณแม่ต้องการระหว่างการตั้งครรภ์
กรดโฟลิค กรดโฟลิคช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดความผิดปกติแต่กำเนิด เช่น ความผิดปกติของกระดูกสันหลัง ที่เรียกว่า Spina Bifida ช่วงเวลาที่เหมาะจะรับประทานคือช่วง 2-3 เดือนก่อนคลอด และระหว่างระยะที่ 1 ของการตั้งครรภ์ (12 สัปดาห์แรก) ในช่วงเวลาดังกล่าว จำเป็นมากที่คุณแม่จะต้องรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์และครบห้าหมู่ พร้อมทั้งรับประทานกรดโฟลิค พร้อมทั้งคุณแม่สามารถเลือกอาหารที่มีกรดโฟลิคสูงมารับประทาน เช่น ผักที่มีสีเขียวอย่างบล็อคโคลี่ กระหล่ำปลี ฝักถั่วและเมล็ดถั่ว และผลไม้ เช่น ส้ม
ธาตุเหล็กและวิตามินซี
ธาตุเหล็กเป็นหนึ่งในสารอาหารหลักที่คุณแม่ต้องการตลอดเวลาในช่วงการตั้งครรภ์ เพราะเป็นสารสำคัญในการช่วยให้ออกซิเจนไหลเวียนไปกับเม็ดเลือดแดงซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกน้อยในครรภ์ใช้ในการพัฒนาสมอง หากขาดธาตุเหล็ก ลูกในครรภ์อาจจะไม่เป็นอะไร แต่ตัวคุณแม่เองจะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคโลหิตจางซึ่งจะทำให้คุณแม่รู้สึกเหนื่อย อ่อนเพลีย และไม่สบายตัว สูติแพทย์ของคุณแม่อาจแนะนำให้ทานธาตุเหล็กเป็นอาหารเสริม หรือไม่คุณแม่ก็ต้องแน่ใจว่าได้รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงอย่างเพียงพอ เช่น เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ ผลไม้แห้ง ซีเรียลธัญพืชและขนมปังธัญพืช และผักใบเขียว
ธาตุเหล็กจะดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดี หากคุณแม่รับประทานผักหรือผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงไปพร้อมกัน ดังนั้น ให้ดื่มน้ำผลไม้ไปพร้อมกับการทานซีเรียล หรือทานผลไม้สดขณะที่กำลังเริ่มทานอาหารมื้อหลักเพื่อช่วยในการดูดซึมให้ดีขึ้น
ไขมันโอเมก้า
การได้รับกรดไขมันโอเมก้า 3 ระหว่างการตั้งครรภ์นั้นเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากเป็นสารที่ช่วยให้ระบบประสาทของลูกน้อยพัฒนาได้ดี ทั้งยังช่วยป้องกันโรคหัวใจให้กับคุณแม่ได้ นอกจากนั้น จากการศึกษาพบว่าการได้รับไขมันโอเมก้าระหว่างการตั้งครรภ์จะทำให้ลูกน้อยฉลาดขึ้นอีกด้วย
ปลาที่มีไขมัน อย่างเช่น ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล และปลาแซลมอน ต่างก็มีกรดไขมันโอเมก้า 3 อยู่สูง แต่คุณแม่ก็ไม่ควรรับประทานมากกว่า 2 ส่วนต่อสัปดาห์ เพราะปลาเหล่านั้นมีสารปรอทอยู่ด้วย หากได้รับในปริมาณสูง อาจจะทำให้เกิดอันตรายกับลูกในท้องได้ ซึ่งคุณแม่อาจเลือกที่จะรับกรดไขมันโอเมก้า 3 จากแหล่งอื่น ได้ในเมล็ดพันธุ์พืชต่างๆ เช่น เมล็ดฟักทอง เมล็ดนุ่น หรือถั่วเหลือง ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะต่อวัน หรือคุณแม่จะเลือกทานอาหารเสริมแทนก็ได้
วิตามินเสริมก่อนคลอด
คุณแม่สามารถเลือกทานวิตามินรวมที่ผลิตสำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์หรือผู้หญิงใกล้คลอดโดยเฉพาะ ซึ่งจะช่วยให้คุณแม่ได้รับสารอาหารที่ครบทั้งห้าหมู่เหมาะสำหรับการตั้งครรภ์ที่สมบูรณ์แข็งแรง โดยได้รวมเอากรดโฟลิค และธาตุเหล็กไว้แล้วด้วย
แต่ต้องดูให้แน่ใจด้วยว่า คุณแม่ได้เลือกเอาวิตามินรวมที่ทำขึ้นสำหรับคนใกล้คลอดหรือคนท้องเท่านั้น ไม่ใช่วิตามินรวมธรรมดาทั่วไป ซึ่งจะมีวิตามินที่ควรหลีกเลี่ยงอยู่ในปริมาณสูง
วิตามินเอ
อาหาร อย่างเช่น ตับบดและไส้กรอกตับ เป็นแหล่งของธาตุเหล็กที่ดี แต่ก็มีวิตามินเออยู่ในปริมาณสูง ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์หากรับประทานมากเกินไป คุณแม่ควรทราบไว้อีกด้วยว่า วิตามินเสริมบางตัวก็มีวิตามินเอในปริมาณสูง ดังนั้น ต้องเลือกทานอาหารเสริมที่ปลอดภัยสำหรับการตั้งครรภ์เท่านั้น สูติแพทย์สามารถช่วยแนะนำได้ในส่วนนี้ อย่างไรก็ตาม มีอีกรูปแบบหนึ่งของวิตามินเอซึ่งดีต่อหญิงตั้งครรภ์ นั่นก็คือแคโรทีน ซึ่งมีมากในพริกหยวกสีแดง เหลืองและส้ม ผลไม้เช่น มะม่วง แครอท มันฝรั่งหวาน แอพพริคอท มะเขือเทศ และผักวอเทอร์เครส
14 กุมภาพันธ์, 2554
แนะนำ
http://www.siaminfobiz.com/mambo/content/section/15/68/
ผมลองเข้าไปชมเว็บนี้ น่าสนใจครับ มีข้อมูลดีๆ สำหรับมือใหม่และมือเก่า นักลงทุนครับ
ผมลองเข้าไปชมเว็บนี้ น่าสนใจครับ มีข้อมูลดีๆ สำหรับมือใหม่และมือเก่า นักลงทุนครับ
คำบอกรักหลายๆประเทศ
.. คำบอกรักภาษาต่าง ๆ ..
- ภาษาไทย เรียกว่า ฉัน รัก คุณ
- ภาษาอังกฤษ เรียกว่า ไอ เลิฟ ยู (I love you)
- ภาษาพม่า เรียกว่า จิต พา เด (chit pa de)
- เขมร เรียกว่า บอง สรัน โอน (Bon sro Iahn oon)
- เวียดนาม เรียกว่า ตอย ยิ่ว เอ๋ม (Toi yue em)
- มาเลเซีย เรียกว่า ซายา จินตามู (Saya cintamu)
- อินโดนีเซีย เรียกว่า ซายา จินตา ปาดามู (Saya cinta padamu)
- ฟิลิปปินส์ เรียกว่า มาฮัล กะ ตา (Mahal ka ta)
- ญี่ปุ่น เรียกว่า คิมิ โอ ไอ ชิเตรุ (Kimi o ai shiteru)
- เกาหลี เรียกว่า โน รุย สะรัง เฮ (No-rui sarang hae)
- เยอรมัน เรียกว่า อิคช์ ลิบ ดิกช์ (Ich Liebe Dich)
- ฝรั่งเศส เรียกว่า เฌอแตม (Je t''''aime)
- ฮอลแลนด์ (ดัชต์) เรียกว่า อิค เฮา ฟาวน์ เยา (Ik hou van jou)
- สวีเดน เรียกว่า ย็อก แอลสการ์ เด (Jag a Lskar dig)
- อิตาลี เรียกว่า ติ อโม (Ti amo)
- สเปน เรียกว่า เตอ เควียโร (Te quiero)
- รัสเซีย เรียกว่า ยาวาส ลุยบลิอู (Ya vas Liubliu)
- โปรตุเกส เรียกว่า อโม-เท (Amo-te)
ความหมายของ ดอกไม้ " วันวาเลนไทน์ "
มนุษย์ได้ใช้ดอกไม้เป็นสื่อในการแสดงความรักต่อกันมานานแล้ว เราอาจจะคิดว่าดอกไม้เป็นสิ่งที่สามารถใช้สื่อความหมายเฉพาะความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว ดอกไม้แต่ละชนิดสามารถสื่อความรักได้หลาย รูปแบบ ทั้งยังไม่จำกัดอายุและเพศอีกด้วย
กุหลาบตูม หมายถึง ความรัก และความเยาว์วัย | |
กุหลาบบาน หมายถึง ความรักที่กำลัง เบ่งบาน ความอ่อนหวาน สดชื่น | |
กุหลาบดำ หมายถึง ความรักนิรันดร์ |
กุหลาบแดง (red rose) : จะใช้ในความหมายแทน ประโยคที่ว่า "ฉันรักเธอ" การให้ดอกกุหลาบแดงกับคนที่รักความ หมายถึงความรักอันลึกซึ้ง จริงจัง กุหลาบแดงจึงมักจะเป็นดอกไม้ ที่ชายหนุ่มให้หญิงสาวที่ตนเองตั้งใจจะใช้ชีวิตร่วมกัน |
กุหลาบขาว (white rose) : สีขาวเป็นสีแห่งความบริสุทธ์ กุหลาบขาวจึงแทนความหมายแห่งความรักอันบริสุทธิ์ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ดังนั้นมันจึงสามารถใช้แทนความรักของคนต่างวัย ความรักต่อพ่อแม่ เพื่อน หรือคนที่เรารู้สึกดีด้วยอย่างบริสุทธิ์ใจได้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)